วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องของหมู... (ขำๆ)





หูดับ ประสาทหูเสื่อมภัยร้ายของคนรักเสียงเพลง (ดัง ๆ )


ปัจจุบันนี้วิถีการดำรงชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ชีวิตคนเราสะดวกสบายมากขึ้น
และส่วนหนึ่งก็ทำให้มนุษย์เราหันมาเป็นมนุษย์ออฟฟิศกันมากขึ้นด้วย ซึ่งแต่เดิมมนุษย์เราจะทำงานตามท้องไร่ท้องนา ซึ่งใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่า วันนี้เรานำเอาภัยเงียบอีกหนึ่งอย่างมาฝากเพื่อน ๆ ที่นี่ชาวออฟฟิศมาให้ได้อ่านกัน นั่นก็คือ โรคประสาทหูเสื่อม หรือหูดับ
ที่วันนี้เอาโรคนี้มาแนะนำให้ชาวที่นี่ได้รู้จักกันนั้น เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนเริ่มเจอปัญหานี้กันมากขึ้น อย่างคนดังที่เป็นข่าวแพร่สะพัดเลยก็คือ อายูมิ ฮามาซากิ ที่ต้องทำงานกับเสียงเพลงตลอดเวลา แถมด้วยตารางการทำงานที่มากมาย เลยทำให้เธอพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ ผลสุดท้ายปัจจุบันนี้ เธอต้องหูบอดสนิทไปเลยหนึ่งข้างเต็ม ๆ
ซึ่งอาการที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ประสิทธิภาพการได้ยินลดลง โดยอาจจะเป็นที่หูข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้งสองข้างเลยก็ได้ คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก เชื้อไวรัสที่ทำให้หูชั้นในอักเสบ หรือหูชั้นในขาดเลือด นอกจากนี้ยังอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความเครียด ที่เกิดจากการทำงานอย่างหักโหม หรือการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ แถมยังพักผ่อนน้อย และสุดท้ายก็คืออาจจะอยู่ในที่ที่มีเสียงดังมาก ๆ เป็นต้นว่า ในสถานบันเทิง อยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ลำโพงในงานคอนเสิร์ต หรือแม้แต่การได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่อยู่ในระยะใกล้ ๆ ก็อาจจะทำให้ "หูดับ" ได้เช่นกัน
หากคุณเริ่มรู้สึกตัวว่าการได้ยินเสียงเริ่มลดลง หรือมีอาการหูอื้อบ่อย ๆ ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ เพราะจะได้ตรวจได้อย่างละเอียด เนื่องจาก "หูดับ" นั้นอาจจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ด้วย นอกจากนี้ไม่แน่ว่าอาการหูอื้อที่เกิดยังอาจจะมาจากมีเนื้องอกในสมองได้ด้วย
วิธีป้องกันที่ดีก็คือ ต้องรู้จักพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงเข้าไปในสถานที่เสียงดังมาก ๆ และสำหรับใครที่รักเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจก็แนะนำว่าให้ฟังในระดับเสียงพอดี ๆ ไม่ต้องเผื่อแผ่ชาวบ้านให้ได้ยินไปด้วย เพราะเวลาเกิดปัญหาคุณจะมีปัญหาคนเดียวนะคะ

ความรักกับหนังสือ

ความรักของคนเรามักจะถูกเปรียบได้กับหนังสือว่า มันมีอะไรที่น่าค้นหาคำตอบในเรื่องนั้น...
เค้าว่ากันว่า...อย่ารู้สึกเสียดายเวลา กับการอ่านหนังสือบางเล่มจนจบ แล้วพบว่าเป็นหนังสือที่ไม่ชอบ
เช่นเดียวกัน จงรู้สึกดี กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่ แม้ว่าวันหนึ่งจะรู้ว่า เขาคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป เราจะได้เลือกทางที่ถูกและคนที่ใช่สักที
เค้าว่ากันว่า...การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนั้นดีทุกหน้า เช่นเดียวกัน การรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย
เค้าว่ากันว่า...คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ก็ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชอบไม่ได้ เช่นเดียวกัน คนที่เราไม่คิดอยากจะรู้จัก อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ได้
เค้าว่ากันว่า.. อย่าตัดสินหนังสือ เพราะแค่ปกสวย เช่นเดียวกัน คนหน้าตาดี อาจไม่ใช่คนดีเสมอไป
เค้าว่ากันว่า...อ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา เช่นเดียวกัน เราคงไม่รู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก
แล้วคุณหล่ะหาหนังสือที่ถูกใจหรือยัง.........

- ข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข -



1..นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่
3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน
5.ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างถนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร
9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันที ที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกรป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16.ให้ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้วแทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น
23.แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก้มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าทีจะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Eau minérale

Les eaux minérales sont une catégorie d'eau qui se caractériserait par une présence importante de substances minérales aux effets particuliers et qui nécessitent des autorisations administratives spécifiques.
Remarque : les eaux minérales naturelles se caractérisent : 1 par la notion de gisement hydro minéral (nappe phréatique profonde et protégée par la nature des couches géologiques environnantes 2 par une stabilité de leur composition minérale 3 par leur pureté originelle : elles ne peuvent pas contenir de composés d'origine anthropique ( liées aux activités de l'homme) 4 elles ne subissent aucun traitement chimique de désinfection.

La minéralité (teneur plus ou moins forte en minéraux) à elle seule ne définit pas une eau minérale.
Des eaux minerales (comme Volvic ou Mont-Roucous) présentent des minéralisations bien plus faibles que certaines eaux du robinet. Ce qui définirait une eau minérale, serait donc en fait son origine souterraine, sa stabilité de composition, et l'absence de tout traitement de désinfection.
Le plus souvent les eaux minérales font également l'objet d'une exploitation

Oie

Les oies sont un groupe d'oiseaux appartenant à la famille des anatidés parmi laquelle on trouve aussi les cygnes et les canards. Le terme « oie » ne désigne pas spécifiquement les espèces du genre Anser, ni même les espèces de la sous-famille des Anserinae. Ainsi on qualifie volontiers les Anserinae, que ce soit les bernaches et les céréopses, d'oies mais aussi les ouettes regroupées au sein des Tadorninae. Ce sont des oiseaux aquatiques assez grands, apparentés aux canards (plus petits) et aux cygnes (plus grands). On distingue aussi les oies sauvages et les oies domestiques. Les oies cacardent.
La plupart des espèces d'
Europe, d'Asie et d'Amérique du Nord sont migratrices à l'état sauvage. Les différentes espèces d'oies sont principalement végétariennes, quelques espèces peuvent même nuire aux agriculteurs en pâturant leurs champs.
Les petits s'appellent des oisons. Le terme jars ne s'applique qu'aux mâles des oies domestiques.
Plusieurs espèces d'oies ont été
domestiquées. L'Oie cendrée (Anser anser) est à l'origine des races européennes, mais en Asie l'Oie cygnoïde (Anser cygnoides) possède une histoire tout aussi longue. Les races d'oies domestiques sont donc d'issues de ces deux espèces indépendamment ou de leurs hybrides qui ne sont pas stériles.

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

" 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์ "


ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัด เรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมอง เป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่ง ผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิด ขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็น โดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย ใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ระหว่างทาง...ของการเดินถอยกลับ

ระหว่างทาง.. ของการเดินถอยกลับ

เคยไหม..ที่คุณก้าวเดินไปข้างหน้า...

แต่รู้สึกว่ามันเป็นการถอยหลังกลับ

เคยไหม..ที่ท้องฟ้าในโลกส่วนตัวของคุณ

กลับเปลี่ยนจากสีฟ้ามาเป็นเมฆครึ้มสีเทาหม่น โดยไม่มีเค้าลางแห่งพายุร้าย...

ทุกอย่างพัดพาคุณกลับไปสู่จุดเริ่มต้น...

หรือไกลกว่านั้น...เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นหยดน้ำตา

เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นเสียงสะอื้นไห้...

ความทุกข์เข้ามาทดแทน วันเวลาแห่งความสุขของคุณ..จนหมดสิ้น...


ความคาดหวังคือปัจจัยหลักของความทุกข์

ความฝันบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์

ชีวิตคนเรามีปัญหา เพิ่มมากขึ้นตามวันเวลาที่หมุนไป...

ทุก ๆ วันเหมือนกับต้องตื่นขึ้นมา เพื่อเดินเข้าไปในสมรภูมิรบ

ฟาดฟันกับปัญหา...


หากคุณชนะคุณก็จะเดินจากมาพร้อมความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง...

หากคุณแพ้คุณก็อาจล้มจมอยู่กับที่...


แล้วจะมีใครสักกี่คนบนโลกใบนี้...

ที่จะคอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือเมื่อเราเจ็บปวด

เอาเข้าจริงในโลกใบนี้...เราจะมีใคร ?...

ใครที่เป็นของเราจริง ๆ ...เกิดมาเพื่อเราจริง ๆ ...


บทเรียนของการเดินถอยหลัง...

ทำให้รู้ว่าความคาดหวังมักมาพร้อมกับความผิดหวังเสมอ...

เราคาดหวังว่าจะมีใครมาร่วมแบ่งปันความรู้สึก...

คอยประคับประคองอยู่เคียงข้าง...คอยรับเมื่อเราล้ม..

แล้วตั้งความหวังว่าเขาจะยืนอยู่เคียงข้างเราไปจนวันตาย...

มีลมหายใจของกันและกันอย่างอบอุ่น


แต่ในโลกของความเป็นจริงก็คือ...เราต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้...

หายใจด้วยตัวเองให้ได้...ลุกด้วยตัวเองให้ได้...

อ้อมแขนและลมหายใจของคนอื่น...

เป็นเพียงส่วนประกอบ ที่ทำให้เราเต็มพร้อมสมบูรณ์...

เราจำเป็นต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้ แม้ไม่มีส่วนประกอบนั้นก็ตาม...

ฉันได้เรียนรู้ว่า...ความฝันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงได้เพื่อลดความเจ็บปวดในชีวิต...

เช่นเดียวกับความรัก...

สิ่งที่เรามอบไปอย่างทุ่มเท..โดยไม่เคยคิดถึงความผิดหวังที่จะตามมา...

มักทำให้เราเจ็บปวดจนสุดจะทน...

ความรัก...เปลี่ยนแปลงได้...


รอยเท้าของเราเหยียบย่ำไปท่ามกลางความสับสน

บางครั้งเข็มนาฬิกาก็เดินเร็วขึ้น...บางครั้งกลับเดินช้าลง...

ทุกอย่างไม่เป็นดั่งที่วาดหวังไว้เสียที...

เพราะเราควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้...


ความคิดของเขา..อาจทำให้เราเจ็บปวดจนสุดจะทน..

แต่เราก็ยังจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่..เพื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น..

ดังนั้นเมื่อมีน้ำตา..และตัดสินใจว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่าหันกลับไปทางเดิม...

เพราะเรากำลังจะเดินจากมันมา..อาจไม่ใช่เขาหรือเราเป็นคนไม่ดี...


แต่ในบางเรื่อง..ก็อาจมีเหตุผลมากกว่าหนึ่งอย่าง...

อย่าพูดว่าเราทำเพื่อเขา...แต่กลับเอาตัวของเราเป็นที่ตั้ง...

เพราะนั่นไม่ใช่รักที่แท้จริง!...

ถ้าบนทางเดินที่ผ่านมาเราก้าวเร็วเกินไป...

มองย้อนกลับไปดูตัวเองใหม่...แล้วหัดเดินให้ช้าลง...

พลังแห่งความรัก

พลังแห่งความรัก
"ความรักเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาทุกเผ่าพันธุ์กลายเป็นญาติสนิทกัน เพราะความรักจะทำลายความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง ความแบ่งพรรคแบ่งพวก...." นโปเลียนฮิลส์
"ความรักเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในจักรวาลนี้" มีคำกล่าวมากมายที่สนับสนุนคำกล่าวนี้ เช่น ความรักสร้างโลก (คนในโลกจะมีปัญหามากมายถ้าคนเราขาดซึ่งความรัก) หรือความรักเป็นพลังที่ทำให้โลกสวยงาม สดใส หรือความรักเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตที่มีความสุข
ความรักเป็นพลังด้านบวกที่ทำให้ชีวิตสดใส มีพลัง มีความสุขจริงหรือ ? ทำไมคนบางคนจึงมีความเชื่อที่ว่า "ความรักเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์" หรือ "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ความรักคืออะไรกันแน่ ?
ความรักของคนเราแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คนเราทุกคนต้องการความรักทั้ง 3 ประเภทนี้


ความรักประเภทแรก
เรียกว่า ความต้องการความรักและความต้องการการยอมรับจากผู้อื่น (love need)
เป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการให้ผู้อื่นมาชอบเรา รักเรา เห็นอกเห็นใจเรา ยอมรับเรา เห็นคุณค่า และความสามารถในตัวเรา ความต้องการความรักประเภทแรกนี้สามารถปรากฏออกมาได้ในหลายๆ รูปแบบ เช่น
ความต้องการที่จะให้คนอื่นฟังเมื่อเรากำลังจะพูด ความต้องการคำชม คำยกย่อง เกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง คนรัก ฯลฯ เพื่อที่เราจะได้รู้สึกว่าเราเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่รักของผู้อื่น
ความรักประเภทแรกนี้แม้ว่าจะเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน บางคนอาจจะต้องการมาก เช่น เมื่อเราแต่งตัวชุดใหม่มาทำงานแต่เพื่อนไม่ได้ทัก หรือไม่ได้ชม เราจะรู้สึกเสียใจมาก เรารู้สึกเสียใจน้อยหรือแทบจะไม่เสียใจเลย
ทำไมคนเราแต่ละคนจึงมีความต้องการความรักประเภทแรกนี้แตกต่างกัน ? คำตอบง่ายๆ ก็คือ ภาพพจน์ของตัวเราเองจะเป็นตัวกำหนดความต้องการความรักและการยอมรับของคนเรา ถ้าเรามีภาพพจน์ด้านบวกกับตัวเองสูงเท่าไร ความต้องการ Love need ของคนเราก็จะน้อยลงไปเท่านั้น

ความรักประเภทที่สอง
เรียกได้ว่าความรักในวงแคบๆ (small love)
เป็นความรักที่มีอยู่ในวงแคบที่เราเห็นได้ทั่วๆ ไป จากคนที่ไม่ค่อยได้มีการพัฒนาทางจิตใจมากนัก
ความรักที่แคบที่สุด คือคนที่มีความรักให้แก่ตนเองเท่านั้น (Egocentric)
ความรักที่กว้างออกไปอีกหน่อยได้แก่คนที่มีความรักให้แก่ตนเองและคนใกล้ชิดมากๆ เท่านั้น เช่น คนรัก หรือคนในครอบครัว ฯลฯ
คนที่มีความรักในวงแคบๆ นี้ มักจะมีชีวิตที่ทุกข์ระทม เมื่อต้องพลัดพรากหรือสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะสิ่งที่ตัวเองรักมีจำนวนจำกัด เมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปก็จะต้องเสียใจเป็นธรรมดา

ความรักประเภทสุดท้าย
คือความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ (Big love)
เป็นความรักที่มีพลังยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นพลังที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแตกต่างกัน
ทำให้เราเคารพตัวเราเองและทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องมีความสัมพันธ์ด้วย เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาจิตใจ
ตามแนวนีโอฮิวแมนนิสก็คือ การฝึกจิตที่ทำให้คนเรามีจิตใจกว้างขวางขึ้น มีน้ำใจให้กับคนรอบข้างในวงที่กว้างขึ้น มีความรักความเมตตาให้กับคนและทุกสรรพสิ่งในวงที่กว้างขึ้น
ยิ่งรัศมีของวงกลมแผ่กว้างออกไปเท่าใด จิตใจของคนเราก็จะมีการพัฒนาสูงขึ้นไปเท่านั้น และความสงบสุข (Bliss) ของจิตใจก็จะมีมากขึ้นไปด้วย
Big love นอกจากจะทำให้ตัวเราเองมีความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้รับรัศมีแห่งความสุขนั้นไปด้วย
และที่สำคัญที่สุดจากกฏของฟิสิกส์ Action = Reaction ผู้ที่มี Big love นี้จะได้รับความรักจากคนรอบข้างสะท้อนกลับมาในปริมาณที่มากด้วย